ภาควิชารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวรมีประวัติความเป็นมาที่ค่อนข้างยาวนานและทรงคุณค่าในบรรดาหน่วยงานด้านวิชาการของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ โดยสามารถสรุปได้เป็น 5 ช่วงเวลา ดังนี้
- ช่วงระยะเวลาที่ 1 กล่าวคือเมื่อมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตพิษณุโลก (มศว.พิษณุโลก) ได้จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พ.ศ. 2517 ภาควิชารัฐศาสตร์ได้ถือกำเนิดขึ้นเป็นภาควิชาหนึ่งในคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (พิษณุโลก)
- ช่วงระยะเวลาที่2เมื่อมีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยนเรศวร ในปี พ.ศ. 2533 และปีถัดมา ได้มี “ประกาศทบวงมหาวิทยาลัย เรื่อง การแบ่งส่วนราชการในมหาวิทยาลัยนเรศวร พ.ศ. 2534 ลงวันที่ 5 กันยายน 2534” คณะสังคมศาสตร์ได้ถูกยุบรวมกับคณะมนุษยศาสตร์ เป็นคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ โดยมีภาควิชารัฐศาสตร์ เป็น 1 ใน 12 ภาควิชาของคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
- ช่วงระยะเวลาที่ 3 ในปี พ.ศ. 2539 ได้มีการยุบรวมภาควิชาต่างๆ ในคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เหลือเพียง 5 ภาควิชา ตาม “ประกาศทบวงมหาวิทยาลัย เรื่อง การแบ่งส่วนราชการในมหาวิทยาลัยนเรศวร พ.ศ. 2539 ลงวันที่ 13 มิถุนายน 2539” ภาควิชารัฐศาสตร์จึงถูกลดฐานะเป็นเพียงสาขาวิชาหนึ่ง ในจำนวนห้าสาขาวิชาของภาควิชาสังคมศาสตร์
- ช่วงระยะเวลาที่4 เมื่อสภามหาวิทยาลัยนเรศวรในการประชุมครั้งที่ 107 (3/ 2546) วันที่ 31 พฤษภาคม 2546 ได้มีมติให้จัดตั้งคณะสังคมศาสตร์ขึ้นใหม่อีกครั้งหนึ่งในมหาวิทยาลัยเรศวร และมีการโอนสาขาวิชา 4 สาขาวิชามาสังกัดในคณะสังคมศาสตร์ จึงได้มีการจัดตั้งสาขาวิชารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ ขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งนี้ ได้เพิ่มเติมคำว่า “รัฐประศาสนศาสตร์” คู่กับรัฐศาสตร์ในชื่อของสาขาวิชาฯ เป็นครั้งแรก
- ช่วงระยะเวลาที่ 5 การถือกำเนิดของภาควิชารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร โดยยกฐานะจากสาขาวิชารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์เดิม ตามมติสภามหาวิทยาลัยนเรศวร ในการประชุมครั้งที่ 149 (1/ 2553) เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2553 พร้อมกับภาควิชาอื่นๆ ในคณะสังคมศาสตร์อีก 3 ภาควิชา
สำหรับผลงานทางวิชาการนั้น คณาจารย์ประจำภาควิชาได้ผลิตหนังสือ ตำรา และบทความที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารต่างๆ รวมทั้งได้รับการคัดเลือกให้นำเสนอในประชุมวิชาการต่างๆ โดยเฉพาะงานการประชุมวิชาการรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์แห่งชาติ ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยมหาวิทยาลัยเจ้าภาพร่วมกับคณะกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ สาขารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ ซึ่งในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา มีคณาจารย์ประจำของภาควิชาฯ ได้ร่วมนำเสนอบทความอย่างน้อย 4-6 คนเป็นประจำทุกปี การพัฒนาด้านงานบริการวิชาการ ภาควิชาฯ ได้จัดให้มีงานหรือโครงการบริการวิชาการสู่สังคมอย่างต่อเนื่องในลักษณะของการจัดร่วมกันระหว่างคณาจารย์และนิสิต รวมทั้งระหว่างภาควิชาฯ กับหน่วยงานภายนอกมหาวิทยาลัย เช่น สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร สถาบันพระปกเกล้า สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) หรือ กลุ่มนิสิตจุฬาฯ-ชนบท ฯลฯ เป็นต้น ทั้งนี้ โดยใช้งบประมาณในการจัดงานหรือโครงการทั้งจากงบประมาณรายได้ของภาควิชาฯ และงบประมาณสนับสนุนจากหน่วยงานภายนอกที่เข้ามาเป็นภาคีร่วมในการจัดงานหรือโครงการต่างๆ เป็นต้น
โดยโครงการที่โดดเด่นและมีการจัดมาอย่างต่อเนื่องของภาควิชาฯ เช่น โครงการวันรัฐธรรมนูญ เป็นกิจกรรมการบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับความสำคัญของรัฐธรรมนูญและการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยโดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ และการแข่งขันตอบปัญหาเกี่ยวกับรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายของกลุ่มโรงเรียนในเขตภาคเหนือตอนล่าง ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากคณาจารย์โรงเรียนต่างๆ ส่งตัวแทนนักเรียนเข้าร่วมการแข่งขันตอบปัญหาทางวิชาการเป็นจำนวนมาก โครงการบรรยายพิเศษโดยนักวิชาการและผู้ทรงคุณวุฒิตามโอกาสและวาระต่างๆ เพื่อเป็นการเพิ่มพูนความรู้ทางวิชาการทางรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ให้แก่นิสิตรัฐศาสตร์และนิสิตมหาวิทยาลัยนเรศวร โดยได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศ การพัฒนางานกิจกรรมของนิสิต ภาควิชารัฐศาสตร์ฯ ได้ให้ความสำคัญต่อกิจกรรมพัฒนานิสิต ซึ่งเป็นกิจกรรมเสริมหลักสูตรให้นิสิตมีการฝึกฝนตนเองและบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม กิจกรรมที่ภาควิชาฯ ดำเนินอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการทำบุญเดือนสิงห์, โครงการรัฐศาสตร์อาสาบำเพ็ญประโยชน์, โครงการสิงห์สัญจร, โครงการศึกษาดูงานต่างๆ เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพานิสิตไปร่วมงานการประชุมวิชาการรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์แห่งชาติ เป็นการสร้างเสริมประสบการณ์ทางด้านวิชาการให้กับนิสิตอย่างดียิ่ง
สีของตราสัญลักษณ์มีความหมาย ดังต่อไปนี้
- สีม่วง คือ สีประจำวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชและสมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดา สยามบรมราชกุมารีอีกทั้งยังเป็นสีประจำจังหวัดพิษณุโลก อันเกิดจากการผสมผสานของสองสี คือ สีแดง คือ ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว สีน้ำเงิน คือ ความยิ่งใหญ่ดั่งกษัตริย์สมกับความเป็น นักปกครอง ฉะนั้น สีม่วงจึงมีความหมายโดยรวม คือ ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวและความยิ่งใหญ่สมกับความเป็นนักปกครองหรือนักรัฐศาสตร์
- สีเทา คือ สีของสมอง ซึ่งเปรียบเสมือนปัญญาและความรู้
- สีแสด เกิดจากการผสมผสานของสองสี คือ สีแดง คือ ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว เปรียบดังสมเด็จพระนเรศวรมหาราช สีเหลือง คือ ความมีคุณธรรม เปรียบดังสมเด็จพระพุทธชินราช
- สีฟ้า คือ สีของคณะสังคมศาสตร์ ซึ่งเปรียบเสมือนท้องฟ้าที่ครอบคลุมอยู่ทั่วไป เหมือนดังสังคมศาสตร์ที่เป็นศาสตร์ที่ประกอบด้วย สหวิทยาการต่างๆ หลายแขนง รวมถึงรัฐศาสตร์ด้วย
สรุป ตราสัญลักษณ์ของสาขาวิชารัฐศาสตร์ฯ มีความหมายโดยรวมคือ สาขาวิชารัฐศาสตร์ฯ เป็นส่วนหนึ่งของคณะสังคมศาสตร์ และเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยนเรศวร สิงห์ม่วงจึงต้องมีความสง่างาม กล้าหาญเด็ดเดี่ยว มีความเป็นผู้นำ สุขุมรอบคอบ ตลอดจนเป็นผู้ใฝ่รู้และมีคุณธรรม อันเป็นคุณสมบัติอันพึงประสงค์ของนิสิตรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
- เพื่อผลิตบัณฑิตทางด้านรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ที่มีความเป็นเลิศทางวิชาการ สามารถเป็นผู้นำ มีคุณธรรม และมีความรับผิดชอบพร้อมที่จะรับใช้สังคม ให้สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ
- เพื่อศึกษาและดำเนินการวิจัยด้านรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ที่มีคุณภาพสำหรับใช้ประโยชน์ด้านวิชาการโดยนำผลการศึกษาวิจัยและงานด้านวิชาการเผยแพร่สู่สังคมในรูปแบบต่างๆ
- เพื่อให้บริการทางด้านการเมืองการปกครอง ด้านการบริหารรัฐกิจ ด้านการบริการวิชาการและการฝึกอบรมให้กับชุมชน ส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และองค์กรอื่นๆ
- มุ่งผลิตบัณฑิตที่มีความเข้มแข็งทางวิชาการ เชี่ยวชาญด้านการวิจัย ภาษาต่างประเทศ และเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสากล มีทักษะวิชาชีพ รอบรู้เกี่ยวกับองค์ความรู้ท้องถิ่น
- เน้นความเป็นเลิศด้านการวิจัยทางสังคมศาสตร์
- สร้างเสริมเครือข่ายที่เข้มแข็งทางวิชาการ งานวิจัย และงานบริการทางสังคม ทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ
- จรรโลงและสืบสาน ศิลปะและวัฒนธรรมอย่างเหมาะสมกับบริบทของสังคมไทยและสังคมโลก
- มุ่งพัฒนาระบบกลไกการบริหารองค์กรให้มีความคล่องตัว ก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยยึดหลักธรรมาภิบาล สร้างความสามัคคี โปร่งใส (Transparency) รับผิดชอบ (Accountability)
- พัฒนาระบบความสัมพันธ์กับศิษย์เก่าให้เข้มแข็งและยั่งยืน เพิ่มขีดความสามารถ ในการนำศักยภาพของศิษย์เก่ามาใช้เพื่อการพัฒนานิสิตและองค์กรให้เกิดประโยชน์สูงสุด